สีน้ำ เป็นสีที่ได้รับความนิยมจากผู้สร้างสรรค์งานศิลปะ เพราะความสวยงามและเป็นธรรมชาติของชิ้นงาน แต่บ่อยครั้งที่เมื่อซื้อสีน้ำมาแล้วต้องผิดหวังเพราะมีปัญหาหลายอย่าง เช่น สีตกตะกอน สีออกมาขุ่นไม่ใสเหมือนเวลาบีบออกมาจากหลอด สีมีความแห้งแตก สีเกิดการขึ้นรา และอีกหลายปัญหาที่ผู้สร้างสรรค์งานศิลปะอาจเคยพอเจอมาแตกต่างกัน วันนี้ เรามีเทคนิคการเลือกซื้อสีน้ำมาฝากค่ะ
เลือกซื้อจากระดับของผู้ใช้
สีน้ำนั้นได้แยกระดับของผู้ใช้ไว้แตกต่างกัน โดยสามารถแบ่งเป็นกลุ่มได้สองกลุ่ม
-สีน้ำสำหรับกลุ่มนักเรียน จะมีสีไม่มาก โดยปกติจะมี 12 หรือ 24 สี เหมาะกับนักเรียนทั่วไปที่ใช้ในวิชาเรียนหรือผู้ที่กำลังหัดระบายสีน้ำ มีราคาไม่แพง
-สีน้ำสำหรับกลุ่มศิลปิน จะมีสีมาให้จำนวนหลายเฉด ทำให้สามารถสร้างสรรค์งานออกมาได้เหมือนจริงที่สุด เพราะมีสีที่ใกล้เคียงธรรมชาติจึงสามารถลงสีได้สวย นอกจากมีจำนวนสีมาก ราคาก็ยังแพงมากด้วย แต่ก็ถือว่าคุ้มค่าเพราะสามารถเนรมิตผลงานให้สวยสมจริงได้
เลือกซื้อจากระดับเม็ดสี
หรือที่เราอาจรู้จักกันในภาษาอังกฤษว่า Pigment ระดับเม็ดสีนั้นจะทำให้ภาพของคุณมีสีสันสดสวยสมจริง เป็นระดับความมีคุณภาพของสีน้ำที่สดสวย ถึงแม้ทำละลายกับน้ำไปแล้วแต่ก็ยังคงความสดของสีไว้อย่างเต็มที่ ดังนั้น เวลาที่เลือกซื้อสีน้ำควรเลือกที่มีระดับ Pigment หรือค่าระดับเม็ดสีระดับสูง
เลือกซื้อจากระดับความทนต่อแสง
ความทนต่อแสงนี้ก็จะทำให้ภาพที่สร้างสรรค์ขึ้นนั้นเก็บได้เป็นเวลานานขึ้น บางภาพที่เราเห็นว่าเมื่อเก็บไว้เป็นระยะเวลานานแล้วมีความซีดจางลง นั่นหมายถึงมีค่าความทนต่อแสงของสีน้อย ดังนั้น เราควรเลือกสีน้ำที่มีระดับค่าความทนต่อแสงมาก
เลือกซื้อจากระดับความใสของสี
สีแต่ละยี่ห้อจะมีความขุ่นใสต่างกัน อันเนื่องมาจากมีค่าความโปร่งแสงแตกต่างกัน ซึ่งแบ่งเป็นสี่ระดับคือ สีโปร่งแสง สีกึ่งโปร่งแสง สีทึบแสง สีกึ่งทึบแสง โดยที่กล่องสีจะมีสัญลักษณ์บอกเกี่ยวกับระดับความใสของสีไว้เพื่อให้ผู้ซื้อเลือกซื้อได้ตามความต้องการใช้งาน
เลือกซื้อจากราคา
เป็นที่แน่นอนว่าสีที่มี่คุณสมบัติดีและครบถ้วนทุกประการเพื่อให้งานที่ออกมางดงามที่สุด ก็ย่อมจะมีราคาที่แพงตามขึ้นไป ดังนั้น เราจึงต้องเลือกดูที่เหมาะสมกับเงินในกระเป๋าด้วย หากอยู่ในระดับนักเรียน หัดวาด ก็เลือกใช้ที่คุณสมบัติต่ำลงมาหน่อยเพื่อเป็นการฝึกฝนมือ เป็นต้น